ฟิลเลอร์ใต้ตา

ฟิลเลอร์ใต้ตา จบทุกปัญหาใต้ตา

ฟิลเลอร์ใต้ตา แก้ปัญหาใต้ตาหมองคล้ำ ลึก เหี่ยวย่น ส่งผลให้ใบหน้าดูไม่สดใสและเหนื่อยล้า การฉีดฟิลเลอร์บริเวณใต้ตา จึงเป็นวิธีที่จะช่วยแก้ไขปัญหาใต้ตาต่าง ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพและเห็นผลลัพธ์ทันทีหลังทำ ทั้งสะดวก รวดเร็ว เห็นผลได้จริง แต่หลังการทำฟิลเลอร์ใต้ตา ก็ต้องมีการดูแลตัวเองควบคู่ไปด้วย เพื่อให้ใต้ตาได้รับการฟื้นฟูได้อย่างเต็มที่และมีผลลัพธ์ที่ยาวนานมากขึ้น

สารบัญ

ฟิลเลอร์ใต้ตา คืออะไร

การฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา เป็นการใช้สาร Hyaluronic Acid เติมเต็มเข้าไปในบริเวณใต้ตา สามารถช่วยแก้ไขปัญหารูปหน้า ที่มีความผิดปกติเกิดจากวัยที่มากขึ้น หรือโครงสร้างกระดูกบริเวณกลางหน้าทรุดตัวลงอย่างรวดเร็ว จากการทำงานที่มีความเครียด หรือการพักผ่อนน้อย ทำให้ถุงใต้ตาห้อย คล้อยออกมา

การแก้ไขจึงเป็นการเติมเต็มช่วงกระดูกที่ทรุดลง เพื่อพยุงถุงใต้ตากลับขึ้นไปอยู่ในตำแหน่งเดิม รอยช้ำหรือสีคล้ำใต้ตาที่หลายๆ คนเห็นนั้น เกิดจากสีของเส้นเลือดดำมาเลี้ยงบริเวณถุงใต้ตา บริเวณใต้ตาก็จะดูสดใสมากยิ่งขึ้น การฉีดฟิลเลอร์จึงได้รับความนิยมในการแก้ไขปัญหาใต้ตา เช่น ใต้ตาคล้ำ ถุงใต้ตา ริ้วรอยใต้ตา เป็นต้น

ปัญหา ฟิลเลอร์ใต้ตา

ปัญหาใต้ตา มีปัญหาอะไรบ้าง?

การมีปัญหาใต้ตา ส่งผลต่ออารมณ์ใบหน้าโดยรวมดูหมองหม่น ไม่สดใส เหนื่อยล้า โดยปัญหาเหล่านี้สามารถรักษาได้ด้วยการฟิลเลอร์ใต้ตา

1. ปัญหารอยคล้ำใต้ตา

ปัญหารอยคล้ำใต้ตามาจากการที่เลือดบริเวณรอบดวงตาไหลเวียนไม่สะดวก จะทำให้เกิดการขยายตัวของเส้นเลือดดำหรือมีเม็ดสี (Melanin) สะสมที่บริเวณใต้ดวงตามากกว่าปกติ รวมไปถึงผิวหนังบริเวณใต้ตามีความบอบบาง จึงทำให้สามารถมองเห็นรอยคล้ำใต้ตาได้อย่างชัดเจน

2. ปัญหาถุงใต้ตาบวม

เนื่องจากอายุที่มากขึ้น คอลลาเจนและอีลาสตินก็จะค่อยๆ เริ่มเสื่อม จึงเกิดจากการสะสมของเหลวภายในร่างกายและทำให้ดวงตาหย่อนคล้อย โดยเฉพาะบริเวณใต้ตา และก่อให้เกิดเป็นปัญหาถุงใต้ตาคั่งอยู่บริเวณใต้ตา โดยเป็นอาการบวมน้ำหรืออาการคั่งน้ำรอบดวงตา ยิ่งสะสมมาก น้ำหนักและขนาดของถุงใต้ตาก็จะยิ่งเพิ่มมากขึ้นจนปรากฏให้เห็นถุงตาบวมเด่นชัด

อีกสาเหตุหนึ่งของการสะสมน้ำภายในถุงใต้ตา อาจเกิดจากปัจจัยโรคต่างๆ อาทิเช่น โรคภูมิเเพ้, การติดเชื้อในโพรงไซนัส, ความดันโลหิตสูง หรือมาจากพฤติกรรมการใช้ชีวิตของบุคคล ได้แก่ การรับประทานอาหารที่มีรสเค็มหรือการร้องไห้ เป็นต้น

3. ปัญหาริ้วรอยใต้ตา

ปัญหาริ้วรอยต่าง ๆ นั้นเกิดจากการสูญเสียคอลลาเจนและอีลาสตินที่คอยพยุงผิว จึงทำให้ผิวสูญเสียความยืดหยุ่นและความกระชับ เป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดริ้วรอยรอบดวงตาและริ้วรอยใต้ตา

ร่วมกับปัจจัยต่างๆ ที่เข้ามากระตุ้นทำให้เกิดริ้วรอยใต้ตา เช่น การเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อบริเวณใบหน้าที่ใช้แสดงความรู้สึก (Muscle of facial expression) ได้แก่ การยิ้ม การหัวเราะ การร้องไห้

ฟิลเลอร์ใต้ตา กระดูกยุบ

สาเหตุที่ทำให้เกิดปัญหาใต้ตา

1. กรรมพันธุ์

กรรมพันธุ์เป็นปัจจัยที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ เพราะกรรมพันธุ์เป็นสิ่งที่จะส่งต่อให้กับลูกหลานต่อไป หากมีพ่อแม่หรือญาติที่มีใต้ตาคล้ำ ปัญหาใต้ตาคล้ำนั้นอาจถูกถ่ายทอดมาได้

2. อายุที่มากขึ้น

เมื่อเริ่มมีอายุมากขึ้น ผิวหนังบริเวณใต้ตาก็จะเริ่มหย่อนและผิวหนังบางลงเนื่องจากสูญเสียคอลลาเจนและอีลาสตินจนเห็นเส้นเลือดใต้ผิวหนังได้ชัดเจน ปรากฏเป็นรอยคล้ำใต้ตา รวมไปถึง ถุงใต้ตา และริ้วรอยใต้ตาจากการสูญเสียคอลลาเจน

3. ภูมิแพ้ (Allergic Shiner)

ขอบตาดำจากโรคภูมิแพ้ คือ การที่ผิวบริเวณใต้ดวงตามีสีดำคล้ำจากโรคภูมิแพ้ โดยหลัก ๆ แล้วมักจะเกิดจากภูมิแพ้จมูกอักเสบ หรือภูมิแพ้ตา ภูมิแพ้มักมาพร้อมกับอาการคัดจมูกคันจมูก จึงทำให้เกิดการขยี้จมูกจนอาจทำให้เยื่อบุจมูกมักจะบวม การบวมจะทำให้เลือดดำไหลผ่านได้ยาก เลือดดำจึงคั่งอยู่บริเวณใต้ตาล่างทำให้ผิวบริเวณใต้ตาล่างดำ

รวมไปถึงอาจทำให้มีอาการคันตา เคืองตา อาการเหล่านี้จะส่งผลให้เกิดพฤติกรรมที่ทำร้ายใต้ดวงตา เช่น การขยี้ตาแรง ๆ เพราะการขยี้ตาทำให้ผิวเกิดอาการบวม อักเสบ และทำลายเส้นเลือดบริเวณผิวรอบดวงตาได้ ส่งผลให้ผิวหนังรอบดวงตาดำคล้ำ หรือมีรอยเหี่ยวย่น

4. การพักผ่อนน้อย

พฤติกรรมการนอนหลับที่ก่อให้เกิดปัญหาใต้ตา เช่น การนอนไม่เป็นเวลาหรือการนอนไม่ครบกำหนดที่ร่างกายต้องการอย่างน้อย 6-8 ชั่วโมง เกิดเป็นปัญหาใต้ตาต่างๆ เช่น ดวงตาลึกและเกิดรอยคล้ำใต้ตา ดวงตาลึกโบ๋ ทำให้มองเห็นรอยคล้ำใต้ตาได้ชัดเจนกว่าเดิม การพักผ่อนให้เพียงพอเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยลดปัญหาใต้ตาได้อย่างดีเยี่ยม

5. การสูบบุหรี่และดื่มแอลกอฮอล์

การสูบบุหรี่และการดื่มแอลกอฮอล์จะเข้าไปทำลายคอลลาเจนภายในผิวหนัง ซึ่งจะเข้าไปทำให้เส้นเลือดใต้ผิวหนังบริเวณใต้ตาขยายตัว ส่งผลให้เห็นเป็นรอยคล้ำใต้ดวงตา และยังทำให้เกิดริ้วรอยใต้ดวงตาอีกด้วย

6. แสงแดด

แสงแดดจะเข้าไปกระตุ้นการทำงานในการสร้างเม็ดสี (Melanin) บริเวณใต้ตา และทำให้เป็นอีกสาเหตุหนึ่งของความหมองคล้ำบริเวณใต้ตา และแสงแดดก็จะตรงเข้าทำร้ายให้ผิวหนังใต้ตาบางลง จึงควรทาครีมกันแดดให้ทั่วบริเวณทั้งใบหน้าและใต้ตาด้วย เพื่อป้องกันความหมองคล้ำที่จะเกิดขึ้น

วิธีแก้ปัญหาใต้ตาด้วยการฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา

ปัญหาใต้ตาข้างต้น สามารถแก้ไขได้ด้วยการฉีดสารเติมเต็มประเภท Hyaluronic Acid สังเคราะห์ที่คล้ายคลึงกับกรดไฮยาลูรอนิกที่อยู่ภายในร่างกายเข้าสู่บริเวณใต้ตา เพื่อเติมเต็มใต้ตาที่ดูลึกโบ๋และริ้วรอยใต้ตานั้นดูตื้นขึ้น ฟื้นฟูรอยคล้ำให้จางลงได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้ใต้ตาดูเต็มมากยิ่งขึ้น ใบหน้าที่ดูหมองหม่น อ่อนล้า ก็ดูสดใสมากขึ้น

แก้ปัญหาใต้ตา ฟิลเลอร์ใต้ตา

การฉีด ฟิลเลอร์ใต้ตา เป็นอีกวิธีหนึ่งที่สามารถจัดการปัญหาใต้ตาได้อย่างครอบคลุม เพราะสามารถรักษาได้ทั้งปัญหาใต้ตาลึก ใต้ตาคล้ำ ริ้วรอยใต้ตา จากที่ดูอ่อนล้า ไม่สดใส ให้กลับมามีชีวิตชีวาได้ และเห็นประสิทธิภาพการรักษาได้ตั้งแต่ครั้งแรกที่ทำการฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา อีกทั้งยังไร้ผลข้างเคียงที่ต้องกังวล จึงทำให้การฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาเป็นหัตถการที่เหมาะสมกับทุกคนที่ต้องการรักษาปัญหาใต้ตา

ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาเหมาะกับใคร

  • ผู้ที่มีปัญหาเบ้าตาลึก ใต้ตาดูคล้ำ ทำให้หน้าดูมีอายุมากกว่าวัย
  • ผู้ที่อายุมากขึ้นและพบปัญหาที่ทำให้รอบดวงตาดูโบ๋หรือตาลึก
  • ผู้ที่มีปัญหากระดูกบริเวณใต้ตายุบตัวลง
  • ผู้ที่มีปัญหาถุงใต้ตาขนาดใหญ่ อันเนื่องมาจากพันธุกรรม
  • ผู้ที่มีปัญหารอยคล้ำบริเวณใต้ตา เหมือนคนพักผ่อนน้อย ไม่สดใส
  • ผู้ที่มีปัญหาใต้ตาโหลหรือตาดำจากลักษณะทางพันธุกรรม
สาเหตุ ฟิลเลอร์ใต้ตา

ปัญหาถุงใต้ตาแบบไหน ไม่เหมาะกับการฉีดฟิลเลอร์

การฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา เป็นการรักษาปัญหาถุงใต้ตาได้ดี เห็นผลลัพธ์ชัดเจน แต่การฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาจะตอบสนองต่อปัญหาถุงใต้ตาที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงของร่างกายได้ดีมากกว่า หรือ ถุงใต้ตาที่เกิดจากเสื่อมสภาพของผิวหรือการที่กระดูกใต้ตายุบตัวลงจากการสูญเสียคอลลาเจน ทำให้เกิดเป็นถุงใต้ตาที่หย่อนคล้อย การฉีดฟิลเลอร์ก็เสมือนเติมเต็มส่วนที่ขาดหายไป ช่วยทดแทนกระดูกและเนื้อเยื่อที่ยุบตัว

ส่วนถุงใต้ตาที่เกิดจากพฤติกรรมหรือปัจจัยภายนอก ก็อาจรักษาได้ แต่เพียงแค่ตัวเราลดพฤติกรรมการทำร้ายดวงตาโดยไม่รู้ตัว ก็เพียงพอแล้วที่จะสามารถป้องกันและรักษาไม่ให้มีถุงใต้ตาเกิดขึ้น

ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา ใช้กี่ CC. เลือกรุ่นไหนดี

ปัญหาทั่วไปจะใช้ปริมาณฟิลเลอร์อยู่ที่ 1-3 CC. หากคนไข้อายุ 50 ปีขึ้นไป กระดูกกลางหน้าทรุดลงเยอะ หรือมีปัญหาใต้ตาลึกมาก ๆ จากการยุบตัวของกระดูกเบ้าตา อาจจะต้องใช้ฟิลเลอร์ 4 CC.หรือมากกว่านั้น

ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา กี่ cc

โดยปกติแล้วฟิลเลอร์ที่หมอเลือกใช้จะเป็นฟิลเลอร์ แบรนด์ Juvederm เพราะเป็นฟิลเลอร์อันดับ 1 จากอเมริกา จะเป็นในรุ่นของ Juvederm รุ่น Voluma หรือ Volift สำหรับวางในตำแหน่งทดแทนไขมันชั้นลึกหรือแทนที่กระดูกหน้าแก้ม และ รุ่น Vobella สำหรับการฉีดเพื่อเก็ยรายละเอียดรอบๆ ตา

ข้อดีของการฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา

  • เห็นผลลัพธ์ได้ทันทีหลังทำ
  • เป็นหัตถการที่ไม่ต้องทำการผ่าตัด
  • ไม่ต้องพักฟื้น สามารถกลับไปใช้ชีวิตได้ตามปกติทันที
  • ไม่ต้องกังวลเรื่องผลข้างเคียง
  • สามารถแก้ไขได้ทันทีหากเกิดข้อผิดพลาดด้วยการฉีดสลายฟิลเลอร์

ข้อเสียของการฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา

  • มีผลลัพธ์เพียงชั่วคราวเท่านั้น
  • หากฟิลเลอร์ใต้ตาสลายไปหมดแล้ว ปัญหาใต้ตาอาจจะกลับมา
  • ต้องมีการฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาซ้ำเพื่อให้ผลลัพธ์คงอยู่ตลอดเวลา
วิธีการฉีด ฟิลเลอร์ใต้ตา

ฟิลเลอร์ใต้ตา มีระยะเวลานานเท่าไร

อายุตามมาตรฐานของฟิลเลอร์อยู่ที่ 12-18 เดือน เพราะสารไฮยาลูโรนิกแอซิด (Hyaluronic Acid) เป็นสารสังเคราะห์ที่เลียนแบบสารที่มีตามธรรมชาติ สามารถย่อยสลายได้ตามกระบวนการดูดซึมของร่างกาย (Absorption) โดยไม่ทิ้งสารตกค้างภายในร่างกาย ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับพฤติกรรมหลังการฉีดฟิลเลอร์ด้วย ถ้าหากมีการดูแลตัวเอง หลีกเลี่ยงปัจจัยที่จะทำให้ฟิลเลอร์สลายเร็วขึ้น จะทำให้ฟิลเลอร์ใต้ตาอยู่ได้นานมากยิ่งขึ้น

ฟิลเลอร์ใต้ตา VS ดอลลี่อาย เหมือนกันหรือไม่

ดอลลี่อาย คือ ขอบตาที่มัดกล้ามเนื้อเส้นเล็กๆ บริเวณตาล่าง มักมองไม่เห็นเวลาทำหน้าเฉย ๆ หรือมีขนาดเล็กเท่านั้น แต่สามารถเห็นได้ชัด ในเวลายิ้ม หรือหัวเราะ ทำให้ใบหน้าละมุนขึ้น ดูอ่อนโยน สดใส ซึ่งการฉีดฟิลเลอร์ดอลลี่อายจะเป็นการฉีดฟีลเลอร์เพื่อตกแต่งดวงตาช่วยเสริมให้ขอบตาล่างที่ยังไม่เห็นเด่นชัดให้หนาขึ้น

ส่วนการฟิลเลอร์ใต้ตา นั้นเน้นไปที่การรักษาปัญหาใต้ตา เช่น ปัญหาใต้ตาคล้ำ ถุงใต้ตา หรือใต้ตาลึกโบ๋ มีริ้วรอย ให้ใต้ตานั้นดูตื้นขึ้น และรอยคล้ำดูจางลง ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

เพราะฉะนั้น การฉีดดอลลี่อายและการฉีดใต้ตา มีความคล้ายกันเล็กน้อยแต่จุดประสงค์ต่างกันอย่างชัดเจน การทำดอลลี่อายคือการทำให้กล้ามเนื้อใต้ตานั้นเห็นชัดขึ้น โดยทำให้หนังตาล่าง รับกับตาสองชั้นด้านบนด้วยเพื่อความสมบูรณ์แบบของดวงตา เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการให้มีดวงตาดูกลมโต สดใส และดูโดดเด่น แต่การฉีดฟิลเลอร์จะเน้นการรักษาปัญหาใต้ตามากกว่า

ฟิลเลอร์ใต้ตา อันตรายไหม

ความอันตรายของการฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา คือ หากฉีดกับแพทย์ที่ไม่มีประสบการณ์และขาดความรู้ด้านกายวิภาค จะทำให้เกิดผลกระทบเกิดขึ้น อย่างรุนแรงที่สุด คือ ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาแล้วอุดตันในเส้นเลือดและเส้นประสาทบนบนใบหน้า ส่งผลให้เกิดอาการเนื้อตาย เพราะเลือดไม่สามารถไปหล่อเลี้ยงบริเวณนั้นได้ อาจทำให้ฟิลเลอร์เข้าไปในเส้นเลือดแดง และเข้าไปอุดตันเส้นเลือดที่ไปเลี้ยงบริเวณดวงตา ส่งผลให้จอประสาทตาตาย ทำให้เกิดอาการตาพร่ามัวและตาบอดได้ รวมไปถึงการฉีดฟิลเลอร์ปลอมด้วยเช่นกัน

อ่านเพิ่มเติม  ฟิลเลอร์ปลอม เสี่ยงแค่ไหน?

อันตราย ฟิลเลอร์ใต้ตา

แต่หากมีข้อผิดพลาดเกิดขึ้น ก็ไม่สายที่จะแก้ในกรณีที่ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาของแท้ ให้รีบไปพบแพทย์ให้เร็วที่สุด เพราะว่าฟิลเลอร์แท้นั้นสามารถฉีดสลายได้โดยไม่มีผลข้างเคียง โดยจะเข้าไปลดคุณสมบัติการอุ้มน้ำของฟิลเลอร์ ทำให้ฟิลเลอร์ค่อย ๆ ยุบตัวลง และสลายหายไปในที่สุด

ฟิลเลอร์ใต้ตา อันตรายแค่ไหน

ข้อปฏิบัติตัวก่อนฉีดฟิลเลอร์

ก่อนฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา เตรียมตัว
  • งดอาหารเสริมหรือยาบางชนิด เช่น ยาแอสไพริน (Aspirin) น้ำมันปลา และ วิตามินอี
  • หลังจากฉีดฟิลเลอร์แนะนำให้งดการทำทรีทเม้นท์เป็นเวลา 2 สัปดาห์
  • หากต้องการทำเลเซอร์ ให้ทำเลเซอร์ก่อนการฉีดฟิลเลอร์อย่างน้อย 3 วัน
  • งดการดื่มแอลกฮอล์และกิจกรรมที่ทำให้เลือดสูบฉีด เป็นเวลา 24 ชั่วโมงก่อนทำการฉีดฟิลเลอร์
  • งดยาผลัดเซลล์ผิว การดึงหรือโกนขนบริเวณที่จะ ฉีดฟิลเลอร์
  • งดคอร์สเลเซอร์และนวดหน้าอย่างน้อย 3 วัน ก่อนฉีด
  • หากมีโรคประจำตัวหรือยาที่ต้องรับประทานประจำควรแจ้งแพทย์ก่อนทำทุกครั้ง
  • แพทย์จะพิจารณาให้กินยาห้ามเลือดหรือฉีดยาลดบวมในบางเคส เพื่อลดความเสี่ยงในการบวมช้ำ

ข้อปฏิบัติหลังฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา

ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา ดูแล
  • หลีกเลี่ยงการสัมผัสบริเวณที่ฉีดฟิลเลอร์ ไม่ว่าจะเป็น การบีบ การนวด การแกะ การเกา ที่จะไปกระทบกับฟิลเลอร์
  • หลีกเลี่ยงความร้อนทุกชนิดและกิจกรรมที่ทำให้เกิดความร้อนของร่างกาย อย่างน้อย 48 ชั่วโมง
  • งดการแต่งหน้าหรือการใช้ครีมบำรุง อย่างน้อย 12 ชั่วโมง
  • ควรดื่มน้ำในปริมาณมากและดื่มอย่างสม่ำเสมอ วันละ วันละ 1.5-2 ลิตร (12 แก้ว) เพราะฟิลเลอร์เป็นสารที่อุ้มน้ำ ฟิลเลอร์ที่ฉีดไปอุ้มน้ำและฟูขึ้น
  • หลีกเลี่ยงการออกกำลังกายหนักๆ หรือกิจกรรมที่ทำให้เหงื่อออกมากเป็นเวลาอย่างน้อย 1 สัปดาห์
  • หลีกเลี่ยงการนอนคว่ำหน้าอย่างน้อย 1 สัปดาห์
  • หลีกเลี่ยงการแสดงออกทางสีหน้าอย่างรุนแรงอย่างน้อย 1 สัปดาห์
  • สามารถประคบเย็นเพื่อลดอาการบวมและช้ำได้ตามที่ต้องการ

ปรับโหงวเฮ้งดวงตา ด้วยฟิลเลอร์เป็นอย่างไร ช่วยส่งเสริมเรื่องอะไร

โหงวเฮ้ง ฟิลเลอร์ใต้ตา

ดวงตา เป็นส่วนที่บ่งบอกอะไรได้หลายอย่าง แสดงออกถึงความรู้สึก ที่เผยให้เห็นถึงนิสัย อารมณ์ ความรู้สึกจากใจ เปรียบได้กับดวงตานั้นเป็นหน้าต่างของหัวใจ

ดวงตา ในหลักโหงวเฮ้ง สามารถทำนายจิตใจและจังหวะชีวิตได้ ดวงตาที่สดใสดูมีสเน่ห์ชวนมอง ทำให้มีแต่คนรักคนชอบ ความมีสเน่ห์จะส่งผลให้ชีวิตก้าวหน้าในทุก ๆ ด้าน ชีวิตไม่ตกอับ มีความก้าวหน้าในหน้าที่การงานได้อย่างรวดเร็ว ช่วยส่งผลกับบุคคลิกภาพของเราเป็นอย่างมาก

หากบุคคลที่มีแววตาเศร้าหมอง หรือดูอิดโรย เปรียบเหมือนสูญเสียพลังชีวิต หากต้องการทำงานให้ประสบผลสำเร็จเท่าคนอื่น อาจต้องใช้แรงผลักดันที่มากกว่า เหนื่อยกว่า ดังนั้น หากมีปัญหา หางตาชี้ลง ตาลึกโบ๋ ดูเศร้าหมองไม่สดชื่น จึงควรรับการแก้ไขช่วงรอบดวงตา เพื่อให้โหงวเฮ้งดีขึ้น

Q&A หลังฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา

โดยทั่วไปหลังจากการฉีดฟิลเลอร์แล้วนั้น ตัวเราก็สามารถมีอาการบวมได้ในช่วง 1-3 วัน รู้สึกว่าตำแหน่งที่รับการรักษาไปนั้นดูบวมขึ้น ถือเป็นอาการปกติทั่วไปที่คนฉีดฟิลเลอร์จะพบเจอได้ จะเกิดขึ้นแค่เฉพาะช่วงแรกๆ ของการฉีดฟิลเลอร์เท่านั้น เพราะหลังจากที่ตัวยา กลืนเข้ากับชั้นผิวของเราก็จะไม่มีอาการบวมขึ้นมาอีก โดยอาการบวมส่วนมากมักมาจากยาชาที่ฉีดหรือไม่ก็จากการถูกเข็มจิ้มลงไปบนผิวหนัง แต่ก็จะหายไปภายในวันหรือสองวันเท่านั้น

การฉีดฟิลเลอร์เราสามารถเห็นการเปลี่ยนแปลงได้ทันทีปริเวณที่ฉีด แต่กว่าการฉีดฟิลเลอร์จะเข้าที่ ต้องรอเวลาผ่านไป 2 สัปดาห์ถึงหนึ่งเดือน โดยหลังฉีดอาจจะมีอาการบวม แต่จะบวมมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับจำนวนครั้งที่เข็มฉีดยาจิ้มลงไป จะมีรอยเข็มเป็นจุดเล็ก ๆ แดง ๆ รอบบริเวณที่ฉีด ซึ่งอาการจะค่อย ๆ ดีขึ้นประมาณ 3-4 วัน และหายเองภายใน 1-2 สัปดาห์

หากฉีดฟิลเลอร์เข้าเส้นเลือดที่เลี้ยงจอประสาทตา สามารถทำให้เกิดการตาบอดได้จริง เพราะอยู่ในตำแหน่งที่ค่อนข้างอันตราย ใกล้เส้นเลือดใหญ่ และมีเส้นเลือดที่เชื่อมกับดวงตา หากผิดพลาดอาจทำให้ถึงขั้นตาบอด แต่ถ้าเทียบอัตราการเกิดตาบอดจากการฉีดฟิลเลอร์ ต่อจำนวนการใช้ฟิลเลอร์ตลอดทั้งปีทั่วโลก พบว่าอัตราการเกิดตาบอดจากการฉีดฟิลเลอร์นั้นน้อยมาก คิดเป็นน้อยกว่า 0.01% ต่อปีเท่านั้น

สรุป

ฟิลเลอร์ใต้ตา เป็นวิธีที่จะช่วยคืนดวงตาที่สดใสกลับมาอีกครั้งด้วยการฉีดสารเติมเต็ม Hyaluronic Acid ตรงช่วยแก้ไขปัญหาใต้ตา ไม่ว่าจะเป็น ปัญหาใต้ตาคล้ำ ปัญหาใต้ตาบวม ปัญหาถุงใต้ตา หรือปัญหาริ้วรอยใต้ตา ก็สามารถจัดการได้อย่างครอบคลุม ตรงจุด สามารถเห็นผลได้ทันที หลังจากฉีดฟิลเลอร์ก็แนะนำให้มีการดูแลใต้ดวงตาควบคู่กันไปเพื่อผลลัพธ์ที่ดีมากขึ้น เช่น การทาครีมบำรุงใต้ตา, ทำทรีตเมนต์, ทำเลเซอร์ หรือการศัลยกรรม